DOWN LOAD WEBSITE

กลไกในการจัดการความเสี่ยง กลไกการประกันภัย

ภัยพิบัติทางธรรมชาติในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเป็นสัญญาณที่เตือนให้สังคมไทยตระหนักว่าเราจะต้องเผชิญกับภัยพิบัติเพราะสภาพอากาศรุนแรงมากขึ้นและบ่อยครั้งขึ้นในอนาคต การคิดอ่านเตรียมวิธีการรับมือจึงเป็นสิ่งจำเป็น

ประเทศไทยอาจพิจารณาขยายบทบาทของการประกันภัย เพื่อบริหารจัดการความเสี่ยงในบริบทของการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ เนื่องจากเป็นกลไกที่เอื้อให้สังคมช่วยกันแบกรับความเสี่ยง และสามารถกระจายความเสี่ยงข้ามพื้นที่และข้ามห้วงเวลาที่ยาวนานในกรอบเวลาของการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศได้

การใช้กลไกประกันภัยเป็นเครื่องมือบริหารจัดการ ความเสี่ยงจากสภาพอากาศแปรปรวนและสภาพ อากาศรุนแรงมีแนวทางการดำเนินการหลักๆ อยู่ 2 แนวทาง คือ

การประกันเพื่อชดเชยความเสียหายนั้นเข้าใจง่าย กล่าวคือ ถ้าเกิดความเสียหายก็จ่ายชดเชยกันไปตามเงื่อนไขกรมธรรม์ แต่มีความยุ่งยากในทางปฏิบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคการเกษตร เพราะตรวจสอบความเสียหายในกรณีของการเสียหายบางส่วน (partial loss) ได้ยากหากมีผู้เอาประกันจำนวนมาก ส่วนอีกแนวทางหนึ่งคือ การประกันความเสี่ยงว่าจะเกิดสภาพอากาศรุนแรงขึ้นหรือไม่ เป็นการใช้ดัชนีชี้วัดสภาพอากาศที่ตกลงกันเป็นเงื่อนไขว่าจะจ่ายค่าชดเชยหรือไม่ (weather index-based insurance) ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าได้มีการตกลงกันว่าถ้าปริมาณฝนสะสมที่อำเภอปากช่องในเดือนพฤษภาคมมีปริมาณน้อยกว่า 100 มม. จะถือว่าเกิด “ภัยแล้ง” ขึ้นในพื้นที่อำเภอนี้ เกษตรกรผู้เอาประกันจะได้รับเงินชดเชยตามกรมธรรม์ไม่ว่าจะเกิดความเสียหายขึ้นหรือไม่ก็ตาม นี่เป็นแนวทางที่นิยมใช้กันในหลายประเทศเพราะสามารถดำเนินการได้ง่ายในการพิจารณาจ่ายชดเชย แต่ทั้งนี้ผู้เอาประกันจะต้องเข้าใจในหลักการการป้องกันหรือบริหารความเสี่ยงดังกล่าว

การนำกลไกประกันภัยมาใช้เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการรับมือกับความเสี่ยงจากสภาพอากาศแปรปรวนและสภาพอากาศรุนแรงสำหรับประเทศกำลัง พัฒนานั้นจะต้องพิจารณาถึงกรมธรรม์ประกันกันภัยสำหรับผู้ที่มีรายได้น้อย (micro-insurance) ซึ่งจะอาศัยกลไกตลาดล้วนๆ ไม่ได้ แต่ต้องมีการสนับสนุนผู้เอา ประกัน (subsidized insurance) เช่น ชาวนาออกค่าเบี้ยประกันครึ่งหนึ่ง และรัฐบาลออกให้ครึ่งหนึ่ง แต่ถ้าเกิดภัยพิบัติหรือสภาพอากาศรุนแรงตามเงื่อนไขของ กรมธรรม์ ทางบริษัทประกันก็จะเป็นผู้จ่ายเงินชดเชยให้ ทั้งนี้ทางบริษัทประกันในประเทศก็อาจจะทำการประกันต่อบริษัทรับประกันต่อในต่างประเทศไว้ด้วยเพื่อ ให้เกิดการแบ่งรับความเสี่ยงกันในวงกว้างมากขึ้น ซึ่งในประเทศไทยก็ได้มีการริเริ่มนำการประกันภัยมาใช้ในภาคเกษตรในรูปของการประกันภัยสำหรับผู้มีรายได้น้อย (micro-insurance) โดยมีการดำเนินการในหลายรูปแบบ แต่ก็เพิ่งดำเนินการมาเพียงระยะหนึ่งและยังจำกัดอยู่ในวงแคบๆ เท่านั้น

กรณีตัวอย่างนี้แสดงให้เห็นถึงการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโดยการใช้กลไกใหม่ๆ เพื่อจัดการความเสี่ยงกับภูมิอากาศในอนาคต เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงของสังคม

การประกันความเสียหาย
อันเนื่องมาจากสภาพอากาศรุนแรง

การประกันความเสี่ยงว่าจะเกิด
สภาพอากาศรุนแรงขึ้นหรือไม่

ประสบภัย ไม่ประสบภัย เบี้ยประกันภัย ได้รับเบี้ยประกันภัย
พื้นที่
ก.
พื้นที่
ข.
ค. ง. จ. ฉ. ช. ซ. บริษัท
ประกันภัย
การกระจายความเสี่ยงข้ามพื้นที่
ประสบภัย ประสบภัย ปีที่ 1 ปีที่ 2 ปีที่ 3 ปีที่ 4 ปีที่ 5 การกระจายความเสี่ยงข้ามเวลา

การพัฒนา

เงื่อนไขด้านเศรษฐกิจและสังคม
(อดีต-ปัจจุบัน)

การเกษตร
เสียหายจาก
อากาศแปรปรวน

อากาศแปรปรวน

ปัจจุบัน

เงื่อนไขด้านเศรษฐกิจ
และสังคม (อนาคต)

พืชผลเสียหาย
หนักขึ้นจาก
สภาพอากาศ
แปรปรวน

อากาศที่แปรปรวนบ่อยขึ้น

ภาวะโลกร้อน

อนาคต

ภาคส่วน
ต้องเผชิญ
ความเสี่ยง
มากขึ้น,
รุนแรงขึ้น

แนวทางการปรับตัว
เพื่อจัดการความเสี่ยง

ระบบประกันเพื่อกระจาย
ความเสี่ยงข้ามพื้นที่/
ข้ามเวลา (risk sharing/
risk transfer)

ความมั่นคงเข้มแข็ง
และความทนทาน
ต่อสถานการณ์เสี่ยง

RESILIENCE
+
ROBUSTNESS